10 สุดยอดรถแพงปี 2011 จากหลายๆค่าย

การจัดอันดับรถแพงนั้น แน่นอนว่า มันจะต้องเป็นศูนย์รวมของรถสปอร์ตหรือรถหรูมูลค่าหลายล้านบาท ที่คนอย่างเราๆ ท่านๆ อาจจะไม่มีวันได้สัมผัส ทว่า รถทั้ง 10 คัน ที่ถูกหวยสักครั้งต้องไปซื้อนั้น มีอะไรบ้างวันนี้เราจะพาทุกท่านไปชมกัน


อันดับที่ 1 Koenigsegg Trevita

แพงที่สุดและหาตัวจับยากที่สุดกับค่าตัว 2.21 ล้านดอลล่าร์ ถือว่าไม่ใช่อะไรที่แพงถ้าคุณกำลังมองหารถหายากที่สุดรุ่นหนึ่งบนถนนกับเจ้า Koenigsegg Trevita ที่เป็นรุ่นพิเศษกว่าเดิม 1,018 แรงม้า จากรุ่นปกติคงเป็นอะไรที่ไม่สามารถพบได้บ่อยนักจากเครื่องยนต์ V8 และแน่นอน มันพิเศษจริงๆ


อันดับที่ 2 Bugatti Veyron Grand Sport

เจ้าVeyron ยังคงแพงเหมือนเคยและครองตำแหน่งในอันดับ 2 ในปีนี้กับค่าตัวระดับ 2 ล้าน ดอลล่าร์ ที่ไม่ใช่จะเป็นเจ้าของกันง่ายๆเสียด้วย เรื่องสมรรถนะความแรงระดับเจ้าสถิติโลกความเร็วปัจจุบันนั้น คงไม่ต้องพูดถึง แต่ถ้าคุณซื้อเวย์รอนมาขี่ แน่นอนคุณต้องชอบความเร้วและทันสมัย บวกกับความหรูหราของมัน


อันดับที่ 3 Roadster Pagani Zonda Cinque

อีกหนึ่งสปอร์ตพันธุ์แรงแดนมักกะโรนี ที่แพงและความแรงที่ไม่เป็นสองรองใครอยู่แล้ว ค่าตัวกว่า 1.8 ล้านดอลล่าร์ของ Roadster Pagani Zonda Cinque ความแพงที่สุดแสนจะบรรยายนี้มาจากเครื่องยนต์ V12 ที่บรรจุเอาไว้ในรถให้แรงม้าเพียง 678 แรงม้า แต่มีความแรงในระดับ 0- 100 กม/ชม ในเวลาเพียง 3. 4 วินาที และความเร็วปลายให้คุณได้สะใจกว่า 349 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

อันดับที่ 4 Lamborghini Reventon Roadster


เจ้ากระทิงดุพันธ์แรงเวอร์ชั่นโรดสเตอร์นั้น ตามมาติดๆ และมันขึ้นนำในเรื่องความแพงกว่าเวอร์ชั่นธรรมดา สูงถึง 1.56 ล้านดอลล่าร์ และทุกอย่างมีความสวยงามมากกว่าเดิม จนน่าหามาใช้สักคัน

อันดับที่ 5 Lamborghini Reventon


เจ้ากระทิงดุ ชื่อแปลกๆ ผลิตออกมาจำหน่ายเพียง 20 คัน พร้อมค่าตัวสุดแพงกว่า 1.42 ล้านดอลล่าร์นั้น เป็นอะไรที่หลายคนคงชอบ และแน่นอน ค่าตัวที่แสนแพงมาพร้อมความแรงจากเครื่องยนต์ V12 ที่ทะยานได้ว่องไว และคล่องตัวในทุกสมรรถนะการขับขี่กับ ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ

อันดับที่ 6 Maybach Landaulet


Maybach Landaulet ที่มาพร้อมค่าตัว 1.4 ล้านดอลล่าร์นั้น มันอาจจะไม่ใช่ รถสปอร์ตพันธุ์แรงมากมายเหมือนที่ผ่านมาแต่น่าสนใจด้วยความหรูหราและแน่นนอนขุมพลัง V12 พร้อมแรงม้า 612 แรงม้านั้น อาจมองไม่คุ้มค่ากับที่จะจ่าย แต่ถ้าคุณรู้ว่ารถรุ่นนี้หรูเพียงใด คงอาจจะไม่ปฏิเสธที่จะอยากได้มัน

อันดับที่ 7 Koenigsegg CCXR


ค่าตัว 1.3 ล้านดอลล่าร์ กับเวอร์ชั่นเพิ่มความแรงของ Koenigsegg CCX นั้นถือเป็นอะไรที่น่าสนใจอย่างมาก สำหรับเศรษฐี โดยเฉพาะเมื่อเครื่องยนต์ V8 พร้อม Supercharger สามารถทำแรงม้าได้กว่า 806 เมื่อคุณเลือกใช้ ออกเทน 98 แต่ที่น่าสนใจคือรถรุ่นนี้รองรับการใช้งานของ E85 และ E 100 ซึ่งเมื่อได้รับน้ำมันดังกล่าวนั้น มันจะมีพละกำลังกว่า 1,018 แรงม้า เลยทีเดียว

อันดับที่ 8  Koenigsegg CCX


ขยับกันขึ้นมาอีกนิดสำหรับรถสปอร์ตมูลค่า 7 หลัก กับ Koenigsegg CCX ที่มีมูลค่ากว่า 1.1 ล้าน ดอลล่าร์ ค่าตัวที่แพงแลกกับอัตตราเร่ง 0-100 กม/ชม ในเวลาเพียง 3.2 วินาที และ ใน 9.8 วินาที มันก็สามารถพาคุณถึงความเร็วที่ 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ความเร็วสูงสุดของรถรุ่นนี้มีรายงานว่าสามารถทะลุเพดานได้กว่า 400 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่ยังไม่มีการยืนยันเรื่องดังกล่าวอย่างเป็นทางการ

อันดับที่ 9 Leblanc Mirabeau


ค่ายผู้ผลิตรถยนต์จากประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ตามเข้ามาในอันดับนี้ กับรถที่เป็นสปอร์ตดิบๆ แต่ราคาแพงเหลือร้ายกว่า 765,000 ดอลล่าร์ Leblanc Mirabeau นั้นเป็นรถสปอร์ตโรดสเตอร์เปิดหน้าต่างไร้กระจก ให้ความดิบดุดัน ด้วยเครื่องวางกลางขับหลัง ตามสไตล์การแข่งขันรถ Le-mans ซึ่งรถรุ่นนี้พกแรงม้ามากว่า 700 ตัว ทางด้านหลังคุณ รับรองไม่มีวันไปทำงานสายๆแน่ๆ

อันดับที่ 10 SC Ultimate Aero


เจ้าสถิติความเร็วตัวยง 412 กิโลเมตรที่ถูกบันทึกไว้ได้โดย กินเนสบุ๊คนั้น คงไม่ใช่รถที่ใครจะสัมผัสได้ง่ายๆ เพราะมันมีค่าตัวถึง 740,000 ดอลล่า ร์ นี่ยังไม่นับค่าดูแลรักษาที่ต้องการเป็นพิเศษ และแม้มันจะเริ่มแก่ไปนิด แต่ความเก๋าของมันนั้น ยังมีอยู่กับสถิตเจ้าความเร็วที่เพิ่งโดน Bugati Veyron Super Sport ลบไปในปีนี้

Honda NSX รถสปอร์ตคูเป้ตัวเก่ง อาจมาพร้อม V6 400 แรงม้า


จากที่มีข่าวว่า Honda ตัดสินใจเลิกพัฒนา NSX ไปแล้ว เพราะเหตุผลทางด้านเศรษฐกิจ หลังจากนั้นก็มีข่าวการที่จะฟื้นคืนชีพของ NSX ในรูปทรงของ HSV-010-GT หรือรถแนวคิดต่างๆที่ทำให้แฟนๆ Honda ลุ้นกันมาตลอด แต่ก็คงไม่ชัดเจนเหมือนกับข่าวล่าสุดจาก motortrend.com ที่รายงานว่า Honda ยังไม่ทิ้ง NSX ซึ่งถ้าข่าวนี้เป็นจริง Honda NSX จะใช้แพลตฟอร์มที่ได้รับการปรับปรุงใหม่จาก Accord ใช้ระบบขับเคลื่อนล้อหลัง โดยมีขุมพลังเป็นเครื่องยนต์ 4 สูบ 2.4 ลิตร หรือ V6 3.5 ลิตร ซึ่งทราบมาจากการที่ Honda ได้ยื่นขอสิทธิบัตรโดยการระบุเครื่องยนต์ที่ใช้เป็นเครื่อง V6 ขนาด 400 แรงม้า นอกจากนั้นอาจจะมีการนำระบบไฮบริดมาใช้ด้วยเช่นกัน



ที่ผ่านมา Honda ได้ห่างหายไปจากการผลิตรถสปอร์ตแบบเต็มรูปแบบ หลังจากประกาศเลิกผลิต S2000 ไปเมื่อประมาณ 2 ปีที่ผ่านมา ส่วนรถไฮบริดอย่าง CR-Z ก็เป็นเพียงคูเป้ในทรงสปอร์ตเท่านั้น NSX จึงเป็นรถสปอร์ตคูเป้ตัวจริงจากค่ายรถยนต์แดนซามูไรรายนี้ที่ทำให้สาวกมี ลุ้นมากขึ้นไปอีก (ภาพประกอบเป็น NSX ปี 2002)



ที่มา: motortrend

เปิดตัว MINI Countryman ทั้งรุ่น Cooper S ALL4 และ MINI Cooper ในงานมหกรรมยานยนต์ครั้งที่ 27 (Motor Expo 2010)


อีก ไม่นานเกินรอ บริษัทมินิ แห่งประเทศไทย ได้ฤกษ์เปิดตัว MINI Countryman มีทั้งรุ่น Cooper S ALL4 และ MINI Cooper ในงาน Motor Expo 2010 หรือมหกรรมยานยนต์ครั้งที่ 27 ที่อิมแพคชาเลนเจอร์ เมืองทองธานี ระหว่างวันที่ 1-12 ธันวาคมนี้

MINI Countryman มาพร้อมคอนเซ็ปต์รถอเนกประสงค์แบบ Crossover มีห้องโดยสารกว้างขวาง ลงตัวด้านประโยชน์ใช้สอย ทั้งยังผสมผสานกับอารมณ์การขับที่สนุกสนานและปราดเปรียวสไตล์ Go-kart feeling ตามแบบฉบับของมินิ


MINI Countryman มาพร้อมประโยชน์ใช้สอยที่ลงตัว โดยไฮไลต์สำคัญอยู่ตรง MINI Connected ซึ่งจะเป็นครั้งแรกในเมืองไทยที่รถยนต์สามารถเชื่อมต่อกับอินเตอร์เน็ตได้

โดย ระบบ MINI Connected สามารถเชื่อมต่อกับโปรแกรม Twitter, Web news และ Web radio ซึ่งทำให้ฟังวิทยุจากประเทศต่างๆทั่วโลก และในอนาคตก็จะมีการเปิดบริการเพิ่มขึ้นในส่วนโปรแกรม Facebook และ Google Local Search ทั้งนี้ ระบบ MINI Connected จะทำงานร่วมกับ iPhone 4 ผ่านระบบเชื่อมต่อสัญญาณ Data GPRS หรือ 3G


MINI Countryman เป็นสมาชิกลำดับที่ 4 ในครอบครัวของมินิ ต่อจากรุ่น Hatchback, Clubman และ Convertible ซึ่งตัวถังแบบ Crossover มีความสูงอยู่ระหว่างรถยนต์แบบซาลูนและรถอเนกประสงค์ SAV Sports Activity Vehicle ในขณะที่ MINI Countryman ยังคงไว้ซึ่งสัดส่วนและรูปลักษณ์ที่เป็นจุดเด่นของมินิในทุกมุมมอง แต่ได้ขยายมิติเพิ่มขึ้นในทุกด้านเช่นกัน โดย MINI Cooper S ALL4 Countryman มีความยาว 4,110 มิลลิเมตร (ยาวกว่ารุ่น MINI Cooper S Clubman 149 มิลลิเมตร) ความกว้าง 1,789 มิลลิเมตร (กว้างกว่ารุ่น Clubman 106 มิลลิเมตร) และความสูง 1,561 มิลลิเมตร (สูงกว่ารุ่น Clubman 129 มิลลิเมตร)


ด้วย คอนเซ็ปต์ Crossover ตำแหน่งนั่งขับของ MINI Countryman จึงถูกยกให้สูงขึ้นกว่าในรุ่นแฮ็ทแบ็ค ซึ่งนอกจากจะทำให้การเข้า-ออกรถเป็นไปได้อย่างสะดวกง่ายดายแล้ว ยังช่วยเพิ่มทัศนวิสัยการขับขี่ในมุมมองที่สูงและกว้างยิ่งขึ้นด้วย ส่วนที่นั่งด้านหลังก็ได้รับการออกแบบให้ ‘ยืดหยุ่น’ เพื่อความอเนกประสงค์อย่างเต็มที่

เบาะนั่งด้านหลังสามารถเลื่อนเดินหน้า-ถอยหลังได้ถึง 130 มิลลิเมตร อีกทั้งพนักพิงยังสามารถปรับเอนได้ จึงทำให้ MINI Countryman เหมาะสำหรับเดินทางใกล้และไกลสำหรับผู้โดยสารผู้ใหญ่ 4 คนได้อย่างสะดวกสบาย ซึ่งการที่เบาะนั่งด้านหลังสามารถเลื่อนเดินหน้า-ถอยหลังได้นี้ ยังช่วยเพิ่มความจุสัมภาระท้ายรถจาก 350 ลิตรเป็น 450 ลิตร และถ้าต้องการบรรทุกสัมภาระขนาดใหญ่ พนักพิงเบาะที่นั่งด้านหลังยังสามารถพับให้แบนราบ เพิ่มความจุสัมภาระเป็น 1,170 ลิตรได้อย่างง่ายดาย

MINI Countryman ยังมาพร้อมกับระบบ Center Rail Storage เป็นระบบรางรูปตัว U ที่มียาวตั้งแต่ส่วนที่นั่งด้านหน้าไปถึงส่วนที่นั่งด้านหลัง ซึ่งผู้ใช้สามารถ ‘Clip-in’ ช่องเก็บของรูปแบบต่างๆ เช่น ถาดเก็บของ, ที่วางโทรศัพท์มือถือ หรือที่วางแก้วน้ำ โดยสามารถล็อคในตำแหน่งต่างๆที่ใช้งานได้สะดวกมือ นอกจากนี้ยัง Center Rail ยังทำหน้าที่เป็นรางไฟ Ambient Light ที่เลือกปรับสีได้ตามแต่อารมณ์ของผู้ขับขี่ ทำให้ห้องโดยสารมีความงดงามแปลกตาด้วยสีสรรในยามค่ำคืน

MINI Cooper S ALL4 Countryman มาพร้อมกับเครื่องยนต์เบนซิน 1.6 ลิตร พร้อมเทคโนโลยีระบบอัดอากาศ Twin-Scroll Turbo ที่ทำงานร่วมกับระบบวาล์วแปรผันอัจฉริยะ VALVETRONIC ให้กำลังสูงสุดถึง 184 แรงม้าที่ 5,500 รอบและแรงบิดสูงสุด 240 นิวตัน-เมตรที่ 1,600-5,000 รอบ และสามารถเพิ่มเป็น 260 นิวตัน-เมตรในขณะเร่งแซงด้วยฟังก์ชั่น Overboost ส่งกำลังผ่านระบบเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด พร้อมฟังก์ชั่น Steptronic และแป้นเปลี่ยนเกียร์บนพวงมาลัย สามารถสร้างอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ภายในเวลาเพียง 8.3 วินาที และมีอัตราการประหยัดน้ำมันเฉลี่ยที่ 12.4 กิโลเมตรต่อลิตร พร้อมทั้งอัตราการคายไอเสียคาร์บอนไดอ๊อกไซด์เพียง 189 กรัมต่อกิโลเมตร

นอก จาก MINI Cooper S ALL4 Countryman แล้ว มินิ ประเทศไทย ยังนำเสนอรุ่น MINI Cooper Countryman ซึ่งใช้เครื่องยนต์ 4 สูบ 1.6 ลิตร พร้อมเทคโนโลยีวาล์วแปรผันอัจฉริยะ VALVETRONIC ให้กำลังสูงสุด 122 แรงม้าที่ 6,000 รอบ แรงบิดสูงสุด 160 นิวตัน-เมตรที่ 4,250 รอบ ส่งกำลังผ่านระบบเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด พร้อมฟังก์ชั่น Steptronic มีอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายในเวลา 11.6 วินาที และมีอัตราการประหยัดน้ำมันเฉลี่ยที่ 13.2 กิโลเมตรต่อลิตร พร้อมทั้งอัตราการคายไอเสียคาร์บอนไดอ๊อกไซด์เพียง 177 กรัมต่อกิโลเมตร

MINI Countryman รุ่น Cooper S ALL4 ยังเพิ่มศักยภาพการบุกตะลุยทางฝุ่นด้วยอ๊อปชั่นระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ MINI ALL4 ซึ่งทำงานผ่านระบบ Electromagnetic Center Differential ที่ได้รับการออกแบบเป็นพิเศษสำหรับมินิโดยเฉพาะ เพื่อสร้างอารมณ์การขับขี่ที่ปราดเปรียวว่องไวในทุกสถานการณ์ โดยในสภาพการขับขี่บนถนนปกติ ระบบจะกระจายพลังขับเคลื่อนไปสู่ล้อหลังได้มากถึง 50% ตามที่รถต้องการ ส่วนในสภาพการขับขี่บนถนนเปียกลื่น เช่น บนพื้นน้ำแข็ง ระบบจะสามารถแปรผันแรงขับเคลื่อนไปสู่ล้อที่ต้องการได้ 100%

วิศวกรของมินิออกแบบให้ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ MINI ALL4 ทำงานเป็นส่วนหนึ่งของสมองกลอิเลคทรอนิคของระบบรักษาเสถียรภาพ DSC Dynamic Stability Control ซึ่งทำให้มันสามารถมีปฏิกิริยาตอบสนองที่รวดเร็วถึง 1/10 วินาที ทำให้มันมีความปราดเปรียวว่องไวอย่างเหนือชั้น ในขณะเดียวกัน ระบบแชสซีของ MINI Countryman ยังถูกออกแบบและเซ็ตเป็นพิเศษ ผสมผสานความสปอร์ตและความสบายได้อย่างมหัศจรรย์ มันใช้ระบบช่วงล่างด้านหน้าแบบ MacPherson และ Forged Track Control Arms และช่วงล่างด้านหลังแบบมัลติลิงค์ที่ให้ประสิทธิภาพการเกาะถนนยอดเยี่ยม อีกทั้งยังมีการติดตั้ง Anti-roll Bars ทั้งด้านหน้าและด้านหล้งเพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการเกาะถนนสำหรับการเข้า โค้งโดยเฉพาะ


ราคา Cooper S ALL4 Countryman ราคา 3,290,000 บาท ส่วนCooper Countryman ราคา 2,790,000 บาท ซึ่งรวมภาษีมูลค่าเพิ่ม และโปรแกรม MSI MINI Service Inclusive 3 ปี / 50,000 กิโลเมตร












Motor Expo 2010 โปรโมชั่นลดกระหน่ำทุกค่าย


ในงาน Motor Expo 2010 ที่เมืองทองธานีช่วงปลายปี 2553 นี้ทางค่ายรถยนต์ใหญ่ ๆ ทุกค่ายได้เตรียมโปรโมชั่นลดกระหน่ำทั้งของแถม ส่วนลด หรือดอกเบี้ยสุดพิเศษ สุดคุ้มสำหรับคอรถที่กำลังมองหารถยนต์ใหม่ ๆ ไว้ ขับแบบสบายกระเป๋าครับ

แม้นี่อาจจะกลายเป็นธรรมเนียมของคนไทย ที่คนขายรู้จักกันดีในฐานะ 4 กลยุทธ์ พิชิตลูกค้า กับการ ลด-แลก-แจก-แถม แต่ว่า ถึงในตอนนี้เราอาจจะยังได้มาไม่ครบทุกเจ้าที่ประกาศเดินหน้าสู้ฟัดในงาน Motor Expo 2010 ทว่าไปดูกันเลยดีกว่าว่าปีนี้ค่ายรถยนต์ต่างๆเข้ามีอะไรมาเรียกให้เราอยากซื้อรถบ้าง


Nissan
เริ่มกันที่ค่ายรถยนต์เก่าแก่ที่หันมาลุยตลาดด้วยตัวเองอย่าง Nissan ที่กำลังนั่งกินนอนกินกับรถยนต์ Eco Car Nissan March ใน งานนี้ก่อนเข้างานก็มีการจัดปรับแต่งรถให้พิเศษขึ้นในทุกรุ่นเพื่อดึงดูด ลูกค้า โดยเฉพาะ ฟังชั่นและออพชั่นใหม่ที่ไฉไลกว่าเดิม พร้อมกับให้โปรโมชั่น ดังนี้

Nissan navara มาพร้อม ฟรีพรีเมี่ยม โพรเท็คชั่น ประกันภัยระยะเวลา 1 ปี ดาวน์ 20 % ดอกเบี้ยเพียง 1.79 %หรือ เลือกผ่อนชำระงวดแรก 90 วันหลังจากวันออกรถที่ดอกเบี้ย 1.99% (ยกเว้นรุ่นซิงเกิ้ล แคป)

Nissan Teana โปรโมชั่นพิเศษ ฟรีพรีเมี่ยม โพรเท็คชั่น ประกันภัยระยะเวลา 1 ปี



Nissan Tida ฟรีพรีเมี่ยม โพรเท็คชั่นประกันภัยระยะเวลา 1 ปี ดาวน์ 20 % ดอกเบี้ย 1.99 % ผ่อนชำระงวดแรก 90 วัน หลังจากวันออกวันออกรถ หรือ ดาวน์เพียง 29,999 บาท ดอกเบี้ย 2.99%

Nissan Xtrail ฟรีพรีเมี่ยม โพรเท็คชั่น ประกันภัยระยะเวลา 1 ปี ดาวน์ 20% ดอกเบี้ย 0.99% หรือ ดาวน์ 20 % ดอกเบี้ย 1.19 % ผ่อนชำระงวดแรก 90 วันหลังจากวันออกวันออกรถ


Mitsubishi

งานนี้ค่ายรถยนต์ Mitsubishi ออกรบพร้อมโปรโมชั่นเด็ดในทุกรุ่น แม้จะไม่ได้มีการเสริมทัพอะไรนักก่อนช่วงมอเตอร์เอ็กซ์โป นอกจากเปิดเผยถึงความเป็นไปได้ ของรถ Eco Car ก่อนงาน Motor Expo ทว่าการดันยอดปลายปีนี้ก็น่าสนใจพอดู

สำหรับใครที่กำลังสนใจ มิตซูบิชิ แลนเซอร์ อีเอ็กซ์ ในงานนี้ถ้าชอบดอกเบี้ยน้อย ค่ายนี้ก็มาพร้อมทางเลือก ดาวน์ 25% พร้อม ดอกเบี้ย 0%* ผ่อน 36 เดือน หรือ เลือกรับเงินเพิ่มอีก 50,000 บาท เมื่อนำรถเก่ามาแลกซื้อรถใหม่ พร้อม ฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง ไดมอนด์อินชัวรันซ์ นาน 1 ปี และบริการช่วยเหลือฉุกเฉิน 24 ชั่วโมง

มิตซูบิชิ แลนเซอร์ 1.6 ลิตร มาพร้อม ดอกเบี้ยต่ำ เริ่มต้นที่ 1.69%ดาวน์ 25% ผ่อน 48 เดือน และ ฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง ไดมอนด์อินชัวรันซ์ นาน 1 ปี พร้อมบริการช่วยเหลือฉุกเฉิน 24 ชั่วโมง

ถ้าใครกำลังมองรถครอบครัวอย่าง มิตซูบิชิ ปาเจโร สปอร์ต งานนี้มี ดอกเบี้ยต่ำ เริ่มต้นที่ 1.69% ดาวน์ 25% ผ่อน 48 เดือน พร้อมฟรี GPS เนวิเกเตอร์ และ ประกันภัยชั้นหนึ่ง ไดมอนด์อินชัวรันซ์ นาน 1 ปี

ด้านรถกระบะ มิตซูบิชิ ไทรทัน ให้คุณสบายกระเป๋า ด้วย ดอกเบี้ยต่ำ เริ่มต้นที่ 0.99% เมื่อ ดาวน์ 25% ผ่อน 48 เดือน (ยกเว้น รุ่น ซิงเกิ้ลแค็บ เมกะแค็บ 2.5 GLX SAM และรุ่น เมกะ แค็บ ซีเอ็นจี) นอกจากนี้ยัง รับเงินเพิ่มอีก 20,000 บาท เมื่อนำรถเก่ามาแลกซื้อรถใหม่ ( เฉพาะรุ่นเมกะแค็บ ยกเว้นรุ่น เมกะแค็บ ซีเอ็นจี) ส่วนในรุ่น มิตซูบิชิ ไทรทัน พลัส ทุกรุ่น ยกเว้นรุ่น ดับเบิ้ลแค็บ พลัส 2.4 GLS เครื่องยนต์ เบนซิน ฟรี GPS Navigator และทุกรุ่นยังมาพร้อม ไดมอนด์อินชัวรันซ์ นาน 1 ปี


MAZDA

ค่าย Zoom-Zoom มาปลายปีนี้ ก็ยังมีหมัดเด็กที่โปรโมชั่นมาพร้อมโปรโมชั่นเร้าใจที่น่าดึงดูดเป็นอย่างยิ่ง เริ่มจากรถรุ่นน้องอย่าง มาสด้า 2 ที่เริ่มต้นที่ดอกเบี้ย 1.99% หรือ ผ่อนเริ่มต้นเพียงแค่เดือนละ 4,999 บาทต่อเดือนเท่านั้นสำหรับรุ่นเกียร์ธรรมดา และรับเพิ่ม ฟรีทันทีค่าบำรุงรักษานาน 2 ปี หรือ 40,000 กิโลเมตร สำหรับรุ่นซีดาน


ขณะที่น้อง 3 ราคาเริ่มต้นเพียง 755,000 บาท เงินดาวน์ต่ำ ดอกเบี้ยต่ำสุดเพียง 0.99%หรือผ่อนเริ่มต้นเพียงเดือนละ 6,999 บาท พร้อมรับฟรีประกันภัยชั้น1 และฟรีค่าบำรุงรักษานานถึง 3 ปี หรือ 60,000 กิโลเมตร

ด้านรถยนต์สปอร์ตปิดคอัพ มาสด้า BT -50 ก็ดันขายกันอย่างสุดฤทธิ์ ด้วยเงินดาวน์ต่พ ผ่อนเริ่มต้นเพียง 5699 บาท/เดือน และรับประกันภัยชั้น 1 ยังไม่พอหากคุณนำรถคันเก่ามาแลกคันใหม่ ยังมีมูลค่าเพิ่มขึ้นจากปกติอีก 20,000 บาท ถือว่าน่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว



หากใครกำลังมอง Mazda CX9 Croos over 7 ที่นั่งงานนี้ ก็มาพร้อมฟรีประกันภัยชั้น1 และค่าบำรุงรักษา 3 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร ส่วนสปอร์ตโรดสเตอร์ Mazda MX-5 นั้น ฟรีประกันภัยชั้น1 ฟรีค่าบำรุงรักษา 3 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร และรับประกันคุณภาพนาน 5 ปี หรือ 140,000 กิโลเมตร


Ford

ด้านค่ายฟอร์ด รถยนต์สายพันธุ์ อเมริกัน ก็เพิ่งมีการประกาศ โปรโมชั่นออกมาล่าสุด โดยในรุ่นฟอร์ด โฟกัส ใหม่ ฟอร์ด เรนเจอร์ ฟอร์ด เอเวอร์เรสต์ และฟอร์ด เอสเคป จะมาพร้อทข้อเสนอดอกเบี้ยต่ำ 0.99%ผ่อนนาน 48 เดือน พร้อมฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง 1 ปี


ในขณะที่ ฟอร์ดเฟียสต้านั้น จะมาพร้อมข้อเสนอพิเศษ ดอกเบี้ยต่ำ 1.75% ผ่อนนาน 48 เดือน และในกลุ่ม ฟอร์ด เรนเจอร์ โอเพ่นแค็บ เอ็กซ์แอลที และฟอร์ด เรนเจอร์ โอเพ่นแค็บ ไฮไรเดอร์ เอ็กซ์แอลเอส จะมาพร้อม ดาวน์ต่ำ 10% ผ่อนนาน 72 เดือน ฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง 1 ปี และฟรีค่าผ่อนชำระ 6 เดือนแรก


Chevrolet

เรารู้ว่าหลายคนติดตามค่ายนี้ โดยเฉพาะ Chevrolet Cruze ที่กำลังจะเปิดตัวในช่วงกลางอาทิตย์หน้า ถือเป็นหนึ่งในรถที่หลายคนเฝ้ารอ ล่าสุด เราพอทราบโปรโมชั่นอย่างไม่เป้นทางการมาว่า

Chevrolet Cruze ที่จะเปิดตัวอย่างเป็นทางการเพื่อการจำหน่ายในงาน Motor Expo 2010 นั้นจะมาพร้อมโปรโมชั่น ราคาพิเศษเฉพาะผู้ที่จองในงาน motor expoเท่านั้น (ยังไม่แน่ใจว่าจะมีส่วนลดเท่าใด) มา พร้อมฟรีอุปกรณ์ตบแต่งมูลค่า 5,000 บาท และเบื้องต้น โปรโมชั่นนี้ยังไม่มีการแถมประกันภัยชั้น 1 แต่อย่างใด

ทั้งหมดนี้เป้นโปรโมชั่น ที่เรามีในมืออยู่ ณ ขณะนี้จากบรรดาค่ายผู้ผลิตรถยนต์หลายๆ เจ้าที่มีการเปิดตัวออกมา แม้บางค่ายรถยนต์ตลาดจะไม่มีการเปิดโปรโมชั่นออกมา แต่ถ้าเราทราบเพิ่มเติมอย่างไร จะมารายงานให้ทราบกัน

Audi RS3 Sportback หนึ่งในแฮทช์แบ็คที่เร็วและแรงที่สุด



Audi RS3 Sportback ใช้ขุมพลังเดียวกับที่ใช้ใน TT RS ซึ่งเป็นเครื่องยนต์เทอร์โบ 5 สูบ 2.5 ลิตร ให้กำลัง 340 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 450 นิวตันเมตรที่ 1,600-5,300 รอบ/นาที โดยกำลังจะถูกส่งไปยังล้อทั้งสี่ผ่านเกียร์ S Tronic Dual Clutch 7 จังหวะที่มีโหมดการขับอัตโนมัติ 2 โหมดและโหมดการขับแบบ Manual 1 โหมด ใช้ระบบขับเคลื่อน All Wheel Drive แบบ quattro permanent ที่พัฒนาขึ้นมาเองโดย Audi

ด้วยน้ำหนักตัวที่ 1,575 กิโลกรัม RS3 สามารถทำความเร็วจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงได้ภายในเวลา 4.6 วินาที ส่วนความเร็วสูงสุดถูกจำกัดไว้ที่ 250 กิโลเมตร/ชั่วโมง สำหรับอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงอยู่ที่ 9.1 ลิตร/100 กิโลเมตร โดยมีอัตราการปล่อย CO2 ที่ 212 กรัม/กิโลเมตร
วิศวกรจาก Audi ยังได้ทำการขยายระยะห่างระหว่างล้อคู่หน้าทั้งสองรวมถึงล้อหลังให้มากขึ้น มีการใช้ชุดสปริงและโช้คอัพชุดใหม่สำหรับระบบกันสะเทือน รวมถึงการโหลดเตี้ยลงไปอีก 25 มิลลิเมตร RS3 วิ่งบนล้ออลูมิเนียมหลอมขอบ 19 นิ้วที่หุ้มด้วยยางขนาด 235/35 สำหรับล้อหน้าและขนาด 225/35 สำหรับล้อหลัง โดยล้อมาตรฐานจะเป็นสีไทเทเนี่ยมขัดเงา โดยมีอ็อปชั่นเป็นสีดำ


สำหรับระบบความปลอดภัย RS3 Sportback ได้รับการติดตั้งระบบเบรคที่ใช้ดิสก์เบรคหน้าเจาะรูระบายความร้อนขนาด 370 มิลลิเมตร และขนาด 310 มิลลิเมตรสำหรับล้อหลัง นอกจากนั้นยังมีการติดตั้งระบบ ESP ที่เป็นระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัวของรถ ซึ่งมีโหมดการขับแบบสปอร์ตที่สามารถปิดเปิดการใช้งานได้ตามความต้องการ




ในเรื่องของรูปลักษณ์ RS3 ใหม่รุ่นนี้ดูไม่แตกต่างไปจากรุ่น RS มากตามที่หลายฝ่ายคาดหวัง โดยภายนอก ล้อชุดใหม่ถูกครอบด้วยซุ้มล้อที่มีขนาดใหญ่ขึ้น มีชุดแต่งบอดี้ที่ประกอบด้วย กันชนหน้าชุดใหม่ที่มีช่องดักอากาศขนาดใหญ่ สเกิร์ตข้าง บังโคลนหลังที่ครอบดิฟฟิวเซอร์และปลายท่อไอเสียคู่เอาไว้ รวมถึงครอบกระจกมองข้างอลูมิเนียมด้าน และสปอยเลอร์หลังคา

ภายในห้องโดยสารได้รับการอัพเกรดในส่วนต่างๆ เช่น พวงมาลัยเป็นแบบขอบล่างตัดตรง เบาะที่นั่งคู่หน้าสไตล์เรซซิ่งแบบโอบรอบกับสรีระผู้นั่งหุ้มด้วยหนัง Nappa ชั้นดีที่มีการปักด้วยสีที่ตัดกันกับสีของชุดหนัง โดยมีการตกแต่งในส่วนต่างๆในแนวสปอรฺ์ต



ในช่วงแรกนี้ Audi RS3 Sportback จะมีเพียงเวอร์ชั่น 5 ประตูเท่านั้น โดย Audi ไม่มีการพูดถึงเวอร์ชั่น 3 ประตูแต่อย่างใด ซึ่งการส่งมอบให้กับลูกค้าในยุโรปจะเริ่มขึ้นในต้นปี 2011 โดยมีราคาจำหน่ายที่ประเทศเยอรมันนีที่ 49,000 ยูโรครับ





ที่มา: Audi

เปิดตัว Chevrolet Cruze ไทย ราคาเริ่มต้น 7.29 แสน สัมผัสตัวจริงได้ที่ Motor Expo 2010


เชฟโรเลต ครูซ ปรากฎการณ์ใหม่ ปลุกทุกปฏิกิริยาตอบสนองด้วย 3 ขุมพลัง พร้อมอ็อปชั่นเต็มพิกัด แรง
  • เหนือชั้นด้วยแรงบิดมหาศาลจากเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบในรุ่นสูงสุด
  • ก้าวไปอีกระดับกับระบบเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด
  • วางเป้าจำหน่ายถึงสิ้นปีหน้ามากกว่า 10,000 คัน
  • เผยราคาช่วงแนะนำ 729,000 ถึง 1,149,000 บาท
  • สัมผัสและทดลองขับเชฟโรเลต ครูซ ได้ในงานมอเตอร์เอ็กซ์โป 2010

กรุงเทพฯ 23 พฤศจิกายน 2553: “ปรากฏการณ์ใหม่ ปลุกทุกปฏิกิริยาตอบสนอง” จีเอ็มและเชฟโรเลต ประเทศไทย เปิดตัว เชฟโรเลต ครูซ อย่างเป็นทางการ เพื่อตอบสนองทุกความต้องการด้วยขุมพลังขับเคลื่อนที่เหนือชั้นทั้ง 3 รุ่น และอัดแน่นด้วยอุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครัน เปิดราคาช่วงแนะนำเริ่มต้น 729,000 ถึง 1,149,000 บาท พร้อมตั้งเป้ายอดขายถึงสิ้นปีหน้ามากกว่า 10,000 คัน โดยลูกค้าสามารถสัมผัสและทดลองขับ เชฟโรเลต ครูซ พร้อมร่วมกิจกรรมต่างๆ ได้ที่บูธเชฟโรเลตภายในงานมอเตอร์ เอ็กซ์โป วันที่ 1-12 ธันวาคม ศกนี้
มร.มาร์ติน แอพเฟล ประธานกรรมการ บริษัท เจนเนอรัล มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และบริษัท เชฟโรเลต เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่าการเปิดตัวเชฟโรเลต ครูซ ถือเป็นก้าวที่สำคัญที่สุดอีกครั้งของ จีเอ็มและเชฟโรเลต ประเทศไทย โดย เชฟโรเลต ครูซ เป็นรถยนต์คอมแพกต์ซีดานระดับโลก ที่มีความยอดเยี่ยมทั้งในด้านการออกแบบ เทคโนโลยี อุปกรณ์อำนวยความสะดวก ความปลอดภัย และสมรรถนะการขับขี่


เชฟโรเลต ครูซ ได้รับการพัฒนาภายใต้แนวคิดแบบ Global Compact Car หรือ รถคอมแพกต์ซีดานระดับโลกที่สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าทั่วทุกมุมโลก โดยปัจจุบัน เชฟโรเลต ครูซ ได้เปิดตัวไปแล้วกว่า 75 ประเทศใน 5 ทวีป ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างงดงามและยังสามารถคว้ารางวัลต่างๆ มากมายทั่วโลก โดยได้พิสูจน์แล้วจากยอดจำหน่ายที่มีมากกว่า 350,000 คันทั่วโลก

เชฟโรเลต ครูซ มาพร้อมกับการออกแบบที่ปฏิวัติพลิกโฉมตลาดรถยนต์นั่งขนาดกลาง โดดเด่นด้วยกระจังหน้าขนาดใหญ่แยกส่วนแบบสองชั้น รับกับกรอบไฟหน้าขนาดใหญ่ที่ดุดัน ด้านข้างตัวรถเน้นเส้นสายที่มีความเฉียบคมอย่างเห็นได้ชัด ตัดสายตาด้วยมือจับประตูโครเมี่ยม สะท้อนความพิถีพิถันและรสนิยมหรู เชฟโรเลต ครูซ มีมิติตัวถังขนาดใหญ่เมื่อเทียบกับรถยนต์รุ่นอื่นๆ ในระดับเดียวกัน ด้วยความยาว 4,600 มม. กว้าง 1,790 มม. และสูง 1,475 มม. เติมเต็มทั้งในด้านภาพลักษณ์และความสะดวกสบายให้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้นกว่าเดิม ส่วนระยะฐานล้อมีความกว้างถึง 2,685 มม.

ภายในห้องโดยสารโดดเด่นด้วยการออกแบบภายในสไตล์ ‘ดูอัล ค็อกพิท’ ซึ่งผู้ขับขี่และผู้โดยสารด้านหน้าจะได้สัมผัสกับประสบการณ์อันน่าตื่นเต้น ร่วมกัน เป็นดีไซน์ที่ถูกถ่ายทอดมาจากที่สุดแห่งรถสปอร์ตมัสเซิลคาร์ เชฟโรเลต คอร์เวทท์ และคล้ายคลึงกับค็อกพิทของห้องนักบิน เน้นความสมดุลของดีไซน์และตำแหน่งอุปกรณ์อำนวยความสะดวกบนแผงคอนโซลกลาง โดยมีเอกลักษณ์ที่จะสร้างความแตกต่างให้ เชฟโรเลต ครูซ โดดเด่นเหนือคู่แข่ง โดยคอนโซลหน้าเน้นดีไซน์แบบทูโทนสีดำสลับสีน้ำตาลส้ม ใช้วัสดุหุ้มหนังตัดกับอลูมิเนียมทั้งคอนโซลกลางและแผงข้างประตู พร้อมกับมีหน้าจอแสดงข้อมูลอัจฉริยะสำหรับผู้ขับขี่

เชฟโรเลต ครูซ ยังมีเทคโนโลยีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกที่อัดแน่นเต็มคัน ทั้งปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์ พร้อมระบบการเข้าห้องโดยสารด้วยรีโมท (Keyless Entry) ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติครูสคอนโทรลที่ติดตั้งอยู่บนพวงมาลัยแบบ 3 ก้าน พร้อมสวิทช์ควบคุมเครื่องเสียงวิทยุ และเครื่องเล่นซีดี โดยผู้ขับขี่ยังสามารถเชื่อมต่ออุปกรณ์เสริมทั้ง Auxiliary และ USB อีกทั้งยังสามารถเชื่อมต่อผ่านระบบไร้สายแบบ Bluetooth เข้ากับเครื่องเสียงได้อีกด้วย


นอกจากนี้ เชฟโรเลต ครูซ ยังมีระบบปัดน้ำฝนอัตโนมัติ ระบบเปิด-ปิดไฟหน้าอัตโนมัติ พร้อมไฟนำทางที่จะส่องสว่างไว้ชั่วขณะเมื่อดับเครื่องยนต์ เพื่อส่องนำทางและเพิ่มความอุ่นใจในยามค่ำคืน

สำหรับขุมพลังขับเคลื่อนของ เชฟโรเลต ครูซ ในรุ่นสูงสุด แรงเหนือชั้นด้วยเครื่องยนต์คอมมอนเรล ดีเซล เทอร์โบแปรผัน ควบคุมการทำงานด้วยระบบอิเลคทรอนิคส์ 4 สูบแถวเรียง 16 วาล์ว ความจุกระบอกสูบ 2.0 ลิตร พร้อมระบบ VCDi ควบคุมการฉีดน้ำมันเชื้อเพลิงให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เพิ่มอัตราความประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงและลดมลพิษ ให้พละกำลังสูงสุดที่ 150 แรงม้า พร้อมแรงบิดมหาศาลที่ 320 นิวตันเมตร

อีกหนึ่งขุมพลังของ เชฟโรเลต ครูซ เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบแถวเรียง 16 วาล์ว DOHC ความจุ 1.8 ลิตร พร้อมระบบวาล์วคู่แปรผันต่อเนื่อง Double Continuous Variable Cam Phasing (Double CVC) เทคโนโลยีล่าสุดของเชฟโรเลต ช่วยควบคุมวาล์วไอดีและไอเสียให้ปรับตามรอบเครื่องยนต์ เพิ่มอัตราเร่งตอบสนองทุกการขับขี่ ให้พละกำลังสูงสุดที่ 141 แรงม้า ซึ่งเหนือกว่ารถในระดับเดียวกัน พร้อมแรงบิดสูงสุดที่ 177 นิวตันเมตร

นอกจากนี้ เชฟโรเลต ครูซ ยังมาพร้อมกับขุมพลังเบนซินแถวเรียง 4 สูบ 16 วาล์ว DOHC ความจุ 1.6 ลิตร พร้อมระบบปรับระยะทางเดินท่อไอดีแบบแปรผัน Variable Geometry Intake System (VGiS) ซึ่งให้ทั้งสมรรถนะ ความประหยัด และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยมีพละกำลังสูงสุดที่ 109 แรงม้า แรงบิดสูงสุดที่ 150 นิวตันเมตร

ระบบส่งกำลังของ เชฟโรเลต ครูซ ก้าวไปอีกระดับด้วยเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด พร้อม Driver Shift Control (DSC) ให้ผู้ขับขี่ปรับเปลี่ยนเกียร์ได้เอง ทำงานควบคู่กับระบบควบคุมแบบอิเลคทรอนิคส์ เทคโนโลยีล่าสุดที่พร้อมตอบสนองทุกการขับขี่ ให้อัตราเร่งอย่างคล่องแคล่วในการขับขี่ที่ช่วงความเร็วต่ำ และมีอัตราเร่งแซงอย่างมั่นใจในช่วงความเร็วสูง ขณะเดียวกันด้วยระบบเกียร์อันชาญฉลาดที่มีถึง 6 จังหวะนี้ ยังสามารถควบคุมรอบเครื่องยนต์ให้อยู่ในรอบต่ำ จึงช่วยประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงได้เป็นอย่างดี โดยนอกจากเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีดแล้ว เชฟโรเลต ครูซ ยังมาพร้อมกับเกียร์ธรรมดา 5 สปีดในรุ่นเครื่องยนต์แบบ 1.6 ลิตร และ 1.8 ลิตร



สำหรับระบบกันสะเทือน เชฟโรเลต ครูซ ด้านหน้าเป็นแบบอิสระ แม็คเฟอร์สันสตรัท คอยล์สปริง โช๊กอัพแก๊ส และเหล็กกันโคลง ส่วนด้านหลังเป็นแบบคานทอร์ชั่นบีม และโช๊กอัพแก๊ส ขณะที่ระบบเบรกเป็นแบบดิสก์เบรก 4 ล้อ คู่กับล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้วพร้อมยาง 225/50 R17 ในรุ่นสูงสุด และล้ออัลลอย 16 นิ้วพร้อมยาง 205/60 R16 ในรุ่นรองลงมา

ระบบความปลอดภัยครบครันด้วยถุงลมนิรภัยคู่หน้าและด้านข้างในรุ่นสูงสุด ระบบเบรก ABS พร้อมด้วย EBD(Electronic Brake-Force Distribution) เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน พร้อมด้วยระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว ESP ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี Traction Control ระบบกุญแจนิรภัย Immobilizer ขณะที่โครงสร้างตัวถังใช้แผ่นเหล็กทนแรงอัดสูง และคานกันกระแทกด้านข้าง เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน

ทั้งนี้ เชฟโรเลต ยังมอบข้อเสนอสุดพิเศษด้วยอัตราค่าบำรุงรักษาที่ต่ำสุด ด้วยเทคโนโลยีเครื่องยนต์ที่ได้รับการพัฒนาใหม่เพื่อยืดระยะการเข้ารับการ ตรวจเช็คตามระยะให้นานขึ้นกว่าเดิมที่ 15,000 กม. (ต่างจากรถยนต์รุ่นอื่นที่เช็คระยะทุกๆ 10,000 กม.) จึงส่งผลให้ค่าบำรุงรักษาโดยรวมจะประหยัดกว่ารถยนต์รุ่นอื่นๆ ในระดับเดียวกัน

เชฟโรเลต ครูซ รถคอมแพกต์ซีดานระดับโลกจะออกมาอวดโฉมเพื่อให้ลูกค้าชาวไทยได้สัมผัสและ ทดลองขับกันอย่างใกล้ชิดภายในงานมอเตอร์ เอ็กซ์โป ระหว่างวันที่ 1-12 ธันวาคม 2553 นี้ พร้อมกิจกรรมมากมาย ซึ่งผู้สนใจสามารถติดตามความเคลื่อนไหวของ เชฟโรเลต ครูซ ได้ทั้งทางเวบไซต์ www.cruze.in.th หรือ www.facebook.com/generalmotorsthailand หรือ โทรสอบถามได้ที่ศูนย์บริการลูกค้าสัมพันธ์ โทร.1734

ราคาจำหน่าย Chevrolet Cruze มีดังนี้

Chevrolet Cruze 1.6 BASE 5M/T ราคา 729,000
Chevrolet Cruze 1.6 LS 6A/T ราคา 809,000
Chevrolet Cruze 1.8 LS 5M/T ราคา 829,000
Chevrolet Cruze 1.8 LS 6A/T ราคา 859,000
Chevrolet Cruze 1.8 LT 6A/T ราคา 919,000
Chevrolet Cruze 1.8 LTZ 6A/T ราคา 984,000
Cruze 2.0 VCDi LTZ 6A/T ราคา 1,149,000












รายการบล็อกของฉัน